โพธิ์ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโพธิ์ 29 ข้อ !

โพธิ์

โพธิ์ ชื่อสามัญ Sacred tree, Sacred fig, Sacred fig Tree, The peepal tree, Peepul tree, Peepul of India, Pipal tree, Pipal of India, Bo tree, Bodhi Tree[1],[2],[3]

โพธิ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus religiosa L. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน (MORACEAE)[1]

โพธิ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สลี (ภาคเหนือ), สี สะหลี (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), โพ โพธิ โพศรีมหาโพ (ภาคกลาง), ย่อง (แม่ฮ่องสอน), ปู (เขมร), โพธิใบ เป็นต้น[1],[2],[3] ในปัจจุบันต้นโพธิ์เป็นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดปราจีนบุรี[4]

หมายเหตุ : คำว่า “โพธิ” แต่เดิมแล้วมิได้เป็นชื่อต้นไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง หากแต่เป็นชื่อเรียกของต้นไม้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงประทับใต้ต้นไม้ต้นนั้น ๆ และได้ตรัสรู้ ต้นโพธิ์ จึงมีความหมายว่า ต้นไม้แห่งการตรัสรู้ (โพธิ แปลว่า เป็นที่รู้หรือเป็นที่ตรัสรู้) และยังเป็นต้นไม้ที่ชาวพุทธ พราหมณ์ และฮินดูให้ความเคารพนับถือกันอย่างสูงอีกด้วย[3]

ลักษณะของต้นโพธิ์

  • ต้นโพธิ์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มตรงส่วนยอดของลำต้น ปลายกิ่งลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ตามกิ่งมีรากอากาศห้อยลงมาบ้าง ลำต้นมีความสูงประมาณ 20-30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-3 เมตร และมีน้ำยางสีขาว เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลปนเทา โคนต้นเป็นพูพอนขนาดใหญ่ โดยจัดเป็นพรรณไม้ที่มีรูปทรงของลำต้นส่วนงามชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ใช้กิ่งชำ หรือใช้กระโดงจากราก แต่ส่วนมากแล้วจะเจริญเติบโตจากสัตว์นำพา เช่น นกมากินเมล็ดและไปถ่ายทิ้งไว้ ก็จะเกิดเป็นต้นใหม่ขึ้นมา เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง พบขึ้นทั่วไปทั้งในทวีปเอเชีย ปากีสถาน จีนตอนใต้ และภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบในธรรมชาติน้อยมาก เข้าใจว่ากระจายพันธุ์มาจากต้นที่มีการนำมาปลูกเอง และพบขึ้นมากตามซากอาคาร และนิยมปลูกกันทั่วไปในวัดทุกภาคของประเทศไทย[1],[2],[3]

ต้นโพธิ์

  • ต้นโพธิ์ เป็นไม้ที่มีอายุยืนยาวมากชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากมีกิ่งก้านแยกสาขาออกจากลำต้นมาก จึงทำให้เกิดเชื้อราที่อาศัยความชุ่มชื้นจากน้ำฝนที่ขังอยู่ตามง่ามไม้ แผ่ขยายเข้าทำลายเนื้อไม้จนเป็นโพรง ซึ่งเรามักจะพบเห็นได้ในต้นโพธิ์ที่มีขนาดใหญ่และมีอายุมาก แต่ถ้าเป็นโพรงอย่างรุนแรงก็อาจทำให้ต้นโพธิ์ตายได้เหมือนกัน[4]

โพศรีมหาโพ

โพ

  • ใบโพธิ์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปใจ ปลายใบแหลมและมีติ่งหรือหางยาว (ปลายติ่งบางใบมีความยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของใบ) โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบเป็นรูปหัวใจ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-24 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ใบมีลักษณะห้อยลง แผ่นใบเป็นสีเขียวนวล ๆ ส่วนยอดอ่อนหรือใบอ่อนนั้นเป็นสีน้ำตาลแดง ก่อนใบจะร่วงหล่นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก้านใบยาวและอ่อน มีความยาวได้ประมาณ 8-12 เซนติเมตร มีหูใบยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร หลุดร่วงได้ง่าย เมื่อลมพัดจะเห็นใบโพธิ์พลิ้วไปตามต้นใหญ่ดูสวยงาม ส่วนปลีที่หุ้มส่วนยอดอ่อนสีครีมหรือสีงาช้างอมชมพู[1],[2],[3]

ใบต้นโพธิ์

ใบโพธิ์

  • ดอกโพธิ์ ออกดอกเป็นช่อกลม ๆ รวมกันเป็นกระจุกภายในฐานรองดอกรูปคล้ายผล โดยจะออกที่ตอนปลายของกิ่ง ดอกย่อยเป็นแบบแยกเพศ ไม่มีก้าน มีใบประดับเล็กที่โคน ฐานดอกเป็นรูปทรงกลม ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองนวล และจะเจริญไปเป็นผล[2],[3]

ดอกต้นโพธิ์

  • ผลโพธิ์ ผลเป็นผลรวม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำ หรือม่วงดำและร่วงหล่นลงมา[1],[2]

ผลโพธิ์

หมายเหตุ : ต้นโพธิ์ในสกุล Ficus จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ โพธิใบ (Ficus religiosa Linn.) ซึ่งกล่าวถึงในบทความนี้ และโพธิขี้นกหรือโพธิประสาท (Ficus rumphii Bl.) ข้อแตกต่างของโพธิทั้ง 2 ชนิดนี้คือ ใบและผลของใบโพธิขี้นกจะมีขนาดเล็กกว่าใบโพธิใบมาก ส่วนผลสุกของโพธิใบจะเป็นสีแดงคล้ำหรือสีม่วงดำ ในขณะที่ผลสุกของโพธิขี้นกจะเป็นสีดำ[3]

สรรพคุณของต้นโพธิ์

  1. ใบมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำใบแก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว ใช้แบ่งกินก่อนอาหารเช้าและเย็น (ใบ)[2]
  2. ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคหัวใจ (ผล)[4]
  3. ผลมีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับพิษ (ผล)[4]
  4. เมล็ดใช้เป็นยาลดไข้ (เมล็ด)[4]
  5. ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง (ใบ)[2]
  1. เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ (เปลือกต้น)[4]
  2. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ผล)[4]
  3. น้ำจากเปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน รักษารากฟันเป็นหนอง (เปลือกต้น)[2],[3],[4]
  4. รากใช้เป็นยารักษาโรคเหงือก (ราก)[4]
  5. ใบใช้รักษาโรคคางทูม (ใบ)[4]
  6. ช่วยรักษาโรคหืด (ผล)[4]
  7. ใบใช้รักษาโรคท้องผูก ท้องร่วง (ใบ)[4]
  8. ลำต้น ใบมีสรรพคุณเป็นยาถ่าย (ลำต้น, ใบ)[2]
  9. ผลใช้รับประทานเป็นยาระบายอ่อน ๆ และช่วยในการย่อยอาหาร (ผล)[1],[2],[3],[4]
  10. เมล็ดใช้เป็นยา มีสรรพคุณช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และมีฤทธิ์เป็นยาระบายเช่นเดียวกับผล (เมล็ด)[1],[2]
  11. เมล็ดใช้เป็นยาแก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (เมล็ด)[4]
  12. ยางใช้รักษาริดสีดวงทวาร (ยาง)[4]
  13. เปลือกต้นใช้ทำเป็นยาชงกินแก้โรคหนองใน (เปลือกต้น)[4]
  14. เปลือกต้นใช้เป็นยาล้างแผล ช่วยรักษาแผลเปื่อย (เปลือกต้น)[2],[4]
  15. เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยสมานบาดแผล ห้ามเลือด ทำให้หนองแห้ง (เปลือกต้น)[2],[4]
  16. ลำต้น ใบใช้เป็นยาบำบัดโรคผิวหนัง ส่วนเปลือกต้นใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง (ลำต้น, ใบ, เปลือกต้น)[2],[4]
  17. ยางใช้เป็นยารักษาโรคหูด (ยาง)[4]
  18. ยางมีสรรพคุณเป็นยาแก้เท้าเป็นหน่อ แก้เท้าเป็นพยาธิ (ยาง)[2]
  19. ช่วยแก้กล้ามเนื้อช้ำบวม (เปลือกต้น)[4]
  20. รากใช้เป็นยารักษาโรคเกาต์ (ราก)[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นโพธิ์

  • สารสำคัญที่พบ ได้แก่ amyrin, bergapten, bergaptol, campesterol, fucosterol,28-iso, n-hentriacontane, hexacosan-1-ol, lanosterol, lupen-3-one, lupeol, n-nonacosane, octacosan-1-ol, oleanolic acid methyl ester, pelargonidin-5, 7-dimethyl ether 3-O-α-L-rhamnoside, β-sitosterol, solanesol, stigmasterol[2]
  • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งระดับน้ำตาลในเลือดสูง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านเชื้อรา[2]
  • เมื่อปี ค.ศ.1963 ที่ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากใบโพธิ์ ผลการทดลองพบว่า สารสกัดดังกล่าวสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้[2]
  • จากการทดสอบความเป็นพิษและรายงานผลการทดลอง ด้วยการฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าช่องท้องของหนูถีบจักรทดลอง พบว่าในขนาดสูงสุดที่หนูทนได้คือ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และพบว่ามีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย[2]

ประโยชน์ของต้นโพธิ์

  • ใบอ่อนใช้รับประทานเป็นอาหาร ใช้เลี้ยงหนอนไหม นอกจากนี้ใบโพธิ์ยังมีคุณค่าทางโภชนาการซึ่งสามารถนำมาใช้ในสูตรอาหารในการทำปศุสัตว์ได้ และยังพบด้วยว่าใบมีปริมาณของโปรตีนและธาตุหินปูนสูง[1],[2]
  • ผลอ่อนใช้รับประทานเป็นอาหารได้[1]
  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามวัดวาอาราม และยังสามารถปลูกเลี้ยงไว้เป็นไม้แคระแกร็นได้ หรือปลูกตามคบไม้หรือปลูกเกาะหิน[1]
  • สำหรับชาวพุทธหรือฮินดู จะถือกันว่าต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความเกี่ยวข้องทางศาสนา ฉะนั้นจึงไม่มีใครนำมาปลูกไว้ตามบ้านเรือน อีกทั้งรากของต้นโพธิ์อาจทำให้บ้านหรือตัวอาคารเกิดความเสียหายได้ จึงมีปลูกกันมากก็ตามวัดวาอารามเท่านั้น[1] (แต่บางความเชื่อก็ระบุว่า หากปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้าน เชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่มเย็น)

หมายเหตุ : ในปัจจุบันต้นโพธิ์ที่สำคัญที่สุดจะอยู่ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย แต่จะไม่ใช่ต้นเดิมเมื่อครั้งพุทธกาล แต่เป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นเดิม เนื่องจากต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์เคยประทับ ได้ถูกผู้มีมิจฉาทิฏฐิและคนนอกศาสนาโค่นทำลายไปแล้ว แต่ด้วยบุญญาภินิหารเมื่อได้นำน้ำนมโคไปรดที่ราก จึงเกิดมีแขนงแตกขึ้นมาใหม่ และได้มีชีวิตอยู่มาอีกไม่นานก็ตายไปอีก แล้วกลับแตกหน่อขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต้นที่เหลืออยู่ในปัจจุบันก็นับเป็นต้นที่ 4 แล้ว[4]

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “โพธิ์ (โพ)”.  หน้า 575-576.
  2. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “โพธิ์”.  หน้า 116-117.
  3. ไม้พุทธประวัติ, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “โพธิ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/budhabot/budbot.htm. [27 ส.ค. 2014].
  4. ลานธรรมจักร.  “โพธิญาณพฤกษา : ต้นโพธิ์ (ต้นอัสสัตถะ)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.dhammajak.net.  [27 ส.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by jakub303, Shubhada Nikharge, Dinesh Valke, Ahmad Fuad Morad, Christian Defferrard, Marc Aurel, david.petts4)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด