เติม สรรพคุณและประโยชน์ของต้นเติม 13 ข้อ ! (ต้นประดู่ส้ม)

เติม

เติม หรือ ประดู่ส้ม ชื่อสามัญ Java cedar[1],[2],[3]

เติม ชื่อวิทยาศาสตร์ Bischofia javanica Blume[1],[2],[3]  จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (ฺPHYLLANTHACEAE)

ต้นเติม มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดู่ส้ม (กาญจนบุรี, นครราชสีมา), ดู่น้ำ ประดู่ส้ม (ชุมพร), ประส้มใบเปรี้ยว ประดู่ใบเปรี้ยว (อุบลราชธานี), ยายตุหงัน (เลย), กระดังงาดง (สุโขทัย), จันบือ (พังงา), ส้มกบ ส้มกบใหญ่ (ตรัง), กุติ กุตีกรองหยัน กรองประหยัน ขมฝาด จันตะเบือ ย่าตุหงัน (ยะลา), ยายหงัน (ปัตตานี), ไม้เติม (คนเมือง), ซะเต่ย (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ซาเตอ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ชอชวาเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ด่งเก้า (ม้ง), เดี๋ยงซุย (เมี่ยน), ไม้เติม ลำผาด ลำป้วย (ลั้วะ), ด่อกะเติ้ม (ปะหล่อง), ละล่ะทึม (ขมุ), ชิวเฟิงมู่ ฉง หยางมู่ (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[3],[5]

ลักษณะของต้นเติม

  • ต้นเติม หรือ ต้นประดู่ส้ม มีเขตการกระจายพันธุ์จากอินเดียไปจนถึงประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก โดยมักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ หรือริมลำห้วยที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,000 เมตร ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 10-30 เมตร และอาจสูงได้ถึง 35 เมตร ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดค่อนข้างทึบ กิ่งมักคดงอ ลำต้นมีเนื้อไม้สีน้ำตาลอมสีเหลือง มีกลิ่นหอม เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือเป็นสีน้ำตาลอมแดง และจะเป็นสีน้ำตาลเข้มเมื่อมีอายุมากขึ้น ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีน้ำตาลอมแดง และมียางสีแดง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง[1],[2],[3],[4]

ต้นเติม

รูปต้นเติม

  • ใบเติม ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบเรียงสลับกัน ก้านใบรวมยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ส่วนก้านใบย่อยข้างยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ก้านใบปลายยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่หรือรูปรีแกมไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบหยักโค้งแกมฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-11 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร เนื้อใบหนาเกลี้ยง ด้านหลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ใบเมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด[1],[2],[3]

ใบเติม

ใบต้นเติม

  • ดอกเติม ออกดอกเป็นช่อ แยกแขนงออกตามซอกใบ ช่อดอกห้อยลง มีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกมีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นสีเหลืองอ่อนอมเขียว ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน (บ้างว่าอยู่กันคนละต้น) โดยดอกเพศผู้จะมีกาบลักษณะเป็นรูปหอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ไม่มีกลีบดอก ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 ก้าน มีเกสรเพศเมียที่เป็นหมันเป็นแผ่นกว้าง ก้านเกสรสั้น และไม่มีหมอนรองดอก ส่วนดอกเพศเมียมีข้อ ด้านบนหนา กลีบเลี้ยงมีลักษณะโค้งเข้าตรงกลาง ก้านเกสรเพศเมียสั้นปลายแยกเป็นแฉก 3 แฉกโค้งกลับ เมื่อดอกบานจะบานพร้อมกันทั้งต้นดูสวยงามมาก และดอกจะร่วงโรยทั้งต้นในวันรุ่งขึ้น โดยจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม[1],[2],[4]

ดอกเติม

ดอกเติมเพศผู้

ดอกเติมเพศเมีย

  • ผลเติม ออกผลเป็นช่อ ๆ ผลเป็นผลสด ฉ่ำน้ำ ลักษณะของผลค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของผลประมาณ 7-10 มิลลิเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีเหลืองหรือเป็นสีส้มแกมสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-4 เมล็ด และมีเนื้อหุ้มอยู่ โดยผลจะแก่จัดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2],[3]

ผลเติม

ลูกเติม

สรรพคุณของเติม

  1. เนื้อไม้มีรสฝาดขม ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตกำเดา แก้ไข้เพื่อโลหิต (เนื้อไม้)[3]
  2. รากและเปลือกใช้เป็นยาฟอกโลหิต แก้โลหิตกำเดา (รากและเปลือก)[5]
  3. ช่วยแก้ตานซางในเด็ก (ใบ)[5]
  4. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เจ็บคอ แก้เสียงแหบแห้ง (ลำต้น)[1] หรือจะใช้เปลือกลำต้นและใบนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้เจ็บคอ (เปลือกต้น, ใบ)[2] ตามตำรับยาระบุให้ใช้ใบสด 35 กรัม นำมาตำให้พอแหลก คั้นเอาแต่น้ำรับประทาน (ใบ)[5]
  5. ดอกมีรสร้อนหอม ช่วยแก้เสมหะ (ดอก)[3]
  1. ช่วยแก้ปอดอักเสบ (ใบ)[5]
  2. เปลือกต้นหรือยอดอ่อนนำมาต้มกับน้ำดื่มแก้อาการท้องเสีย (เปลือกต้น, ยอดอ่อน)[3]
  3. ดอกช่วยแก้ลมจุกเสียด อาการท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ (ดอก)[3]
  4. แก่นลำต้นและเปลือกต้นเป็นยาแก้ท้องร่วง (เปลือกต้น, แก่น)[2] ส่วนใบก็เชื่อว่าแก้อาการท้องร่วงได้ด้วย โดยอาจจะใช้ต้มให้หมูที่มีอาการท้องร่วงกินเป็นยาด้วยก็ได้ (ใบ)[3]
  5. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด (ลำต้น)[1] บ้างว่าใช้เปลือกลำต้นและใบนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้โรคบิดและแก้อาการท้องเดิน (เปลือกต้น, ใบ)[2]
  6. เปลือกต้นใช้ตำผสมกับอาหารที่มีรสจัด จะช่วยป้องกันอาการท้องเสียได้ (เปลือกต้น)[1],[3]
  7. ใช้แก้มะเร็งในกระเพาะอาหารหรือในทางเดินอาหาร ด้วยการใช้ใบสด 60-100 กรัม นำมาต้มกับเนื้อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน หรือจะใช้ใบสด 60 กรัม นำมาผสมกับกาฝากลูกท้อ, ยิ้ง, แปะหม่อติ้ง, จุยเกียมเช่า อย่างละ 15 กรัม นำมาผสมรวมกันต้มกับน้ำ 2 ครั้ง ใช้แบ่งรับประทานวันละ 4 ครั้ง (ใบ)[5]
  8. ช่วยแก้ตับอักเสบเนื่องจากติดไวรัส (ใบ)[5]
  9. ใบใช้ภายนอกเป็นยาแก้ฝีหนอง (ใบ)[5]
  10. ช่วยลดบวม (รากและเปลือก)[5]
  11. ช่วยขับลมชื้น แก้อาการปวดกระดูก ปวดข้อกระดูก ด้วยการใช้เปลือกต้นหรือราก 15 กรัม นำมาดองกับเหล้ารับประทาน หรือจะนำมาทาหรือนวดบริเวณที่ปวดก็ได้ (เปลือกต้น, ราก)[5]

หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [5] รากและเปลือกแห้ง ให้ใช้ครั้งละ 10-18 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือจะนำไปดองกับเหล้ารับประทานก็ได้ ส่วนใบให้ใช้ใบสดครั้งละ 60-100 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หากใช้ภายนอก ให้ใช้ยาสดกะเอาตามความต้องการนำมาตำพอกแผล หรือต้มเอาน้ำใช้ล้างแผล[5]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นเติม

  • ใบและต้นพบว่ามีสาร Epifriedelinol acetate, Friedelinol, B-Sitosterol, B-Amyrin ส่วนในเมล็ดพบน้ำมัน Ellagic acid, Ursolic acid และในเมล็ดยังพบน้ำมันมีกลิ่นหอมเป็นสีเหลืองอ่อนอีกด้วย[5]

ประโยชน์ของเติม

  1. ยอดอ่อนและดอกสามารถนำไปประกอบอาหารได้ เช่น การนำมาทำเป็นยำ ยำใส่ปลากระป๋อง ฯลฯ หรือจะนำไปลวกหรือรับประทานสดจิ้มกับน้ำพริก หรือนำไปหมกกับเกลือใช้รับประทานแบบเมี่ยง หรือจะนำใบอ่อนนำมาสับให้ละเอียดใช้เป็นส่วนผสมในการทำลาบ นอกจากนี้ยังนำยอดอ่อนลนไฟมาใช้ในการประกอบอาหารเพื่อช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวได้อีกด้วย เช่น การทำแกงส้มปลา[2],[3]
  2. ผลสุกสามารถนำมารับประทานได้ โดยจะมีรสเปรี้ยวและฝาด[2],[3]
  3. เนื้อไม้ของต้นเติมเป็นสีเทาแกมสีน้ำตาลไหม้ เนื้อไม้หยาบ เลื่อยผ่าไสตบแต่งขัดมันขึ้นดี สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง ทำสะพาน ทำฝา พื้นกระดาน ฯลฯ หรือใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน หรือใช้ทำอุปกรณ์ใช้งานที่ทนน้ำได้ เช่น แจวและพาย ฯลฯ หรือจะใช้ลำต้นนำมาเผาเอาถ่านก็ได้เช่นกัน[2],[3]
  4. เปลือกต้นมีสารแทนนินมาก สามารถนำมาใช้ในการย้อมสีภาชนะใช้สอยประเภทกระบุง ตะกร้า เครื่องเรือนที่ทำด้วยหวายหรือไม้ไผ่ โดยจะให้สีชมพู[3],[4]
  5. ต้นเติมสามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีช่อดอกและช่อผลที่สวยงาม หรือใช้ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาได้ โดยเป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่เลือกพื้นที่และอากาศ[4]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.  (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “เติม Java Cedar”.  หน้า 48.
  2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “เติม”.  อ้างอิงใน: หนังสือไม้ต้นในสวนพฤกษศาสตร์และ พืชสมุนไพร เล่ม 2.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org.  [17 มี.ค. 2014].
  3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน).  “Java cedar”.  อ้างอิงใน: หนังสือสารานุกรมสมุนไพร : รวมหลักเภสัชกรรมไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา), หนังสือองค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 1 (สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียว, อ่องเต็ง นันทแก้ว).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [17 มี.ค. 2014].
  4. Digital Library.  “ประดู่ส้ม ผลกินได้”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: http://www.school.net.th/library/new/index.htm.  [17 มี.ค. 2014].
  5. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “ประดู่ส้ม”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 318.

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by plj.johnny/潘立傑, Starr Environmental, John Forlonge, taiwanicus, Foggy Forest, Scamperdale, dinesh_valke, Shantanu98)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด