อังกาบ สรรพคุณและประโยชน์ของอังกาบ 12 ข้อ !

อังกาบ

อังกาบ ชื่อสามัญ Philippine violet, Bluebell barleria, Crested Philippine violet

อังกาบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria cristata L. จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)

สมุนไพรไทยอังกาบ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ก้านชั่ง คันชั่ง ลืมเฒ่าใหญ่ ทองระอา ทองระย้า อังกาบกานพลู อังกาบเมือง เป็นต้น

ต้นอังกาบ กับต้นต้อยติ่ง ลักษณะโดยรวมแล้วจะดูคล้ายกันมาก จนทำให้คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นต้นต้อยติ่ง เนื่องจากลักษณะของผลนั้นมีรูปทรงที่เหมือนกันมาก แต่ผลของต้อยติ่งเมื่อถูกน้ำแล้วจะแตกออก แต่ผลของอังกาบจะไม่แตกเมื่อถูกน้ำ แต่จะแตกหรืออ้าได้เองตามธรรมชาติ

ลักษณะของอังกาบ

  • ต้นอังกาบ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียและจีน จัดเป็นไม้พุ่มเตี้ยขนาดเล็ก มีลำต้นเป็นข้อ มีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร กิ่งก้านและลำต้นจะมีขนสีเหลืองอ่อนโดยเฉพาะตามข้อ ไม่มีหนามเหมือนต้นอังกาบหนู เป็นไม้ที่ชอบแสงแดดปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำกิ่งและการใช้เมล็ด ในประเทศไทยนั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามหัวไร่ปลายนา ป่าละเมาะ หรือป่าดงดิบ ป่าเต็งรัง รวมไปถึงป่าก่อ

ต้นอังกาบม่วงต้นอังกาบ
  • ใบอังกาบ ลักษณะของใบคล้ายรูปหอก ปลายใบเรียวแหลมหรือยาว โคนใบเรียวสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีขนสั้นนุ่มกระจายอยู่ทั้งสองด้าน โดยเฉพาะตามเส้นใบ ใบมีความยาวประมาณ 3-12 เซนติเมตรและกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร ใบออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ก้านใบสั้น มีความยาวประมาณ 0.3-2 เซนติเมตร ใบตามกิ่งจะสั้นและมีขนาดเล็กกว่าตามลำต้น

ใบอังกาบ

  • ดอกอังกาบ ออกดอกเป็นช่อคล้ายช่อเชิงลดสั้น ๆ หรือเป็นกระจุกค่อนข้างแน่นที่ปลายยอด หรือบริเวณใกล้ปลายยอด ลักษณะของดอกอังกาบเป็นรูปทรงกลมหรือรูปแตร ดอกมีสีม่วง ส่วนที่โคนช่อดอกจะมีใบประดับรูปขอบขนานยาวหรือรูปใบหอก ยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ขอบใบเว้า มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบเรียงซ้อนเหลื่อมกัน มีขนาดไม่เท่ากัน คู่นอกจะมีขนาดใหญ่กว่า ลักษณะเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ขอบจักเป็นติ่งหนาม ปลายแหลมยาว ส่วนกลีบคู่มีลักษณะเป็นรูปใบหอกหรือรูปแถบ ยาวประมาณ 6-7 มิลลิเมตร มีปลายแหลมยาว กลีบดอกคล้ายรูปปากเปิด หลอดกลีบยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ดอกอังกาบมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีม่วง สีชมพู หรือสีขาว กลีบบนมี 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับยาวประมาณ 2 เซนติเมตร เรียงซ้อนเหลื่อมกันอยู่ ส่วนกลีบล่างจะแผ่กว้างกว่ากลีบบนเล็กน้อย แต่มีความยาวเท่ากับกลีบบน มีเกสรตัวผู้ 4 ก้านติดอยู่ที่โคนกลีบดอก ยาว 2 อัน และสั้น 2 อัน เกสรอันยาวจะยื่นเลยปากหลอดกลีบมาเล็กน้อย ก้านเกสรจะมีขนหนาแน่นที่โคน ส่วนอับเรณูจะยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร โดยเกสรตัวผู้จะเป็นหมัน 1 ก้าน รังไข่เป็นรูปขอบขนานแกมรูปกรวยเกลี้ยง มีอยู่ 2 ช่อง แต่ละช่องจะมีออวุลอยู่ 2 เม็ด ส่วนก้านเกสรตัวเมียจะมีลักษณะเรียวยาว มีความยาวได้ประมาณ 4 เซนติเมตร ยอดเกสรเรียบ โดยอังกาบมักออกดอกช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม

อังกาบ

อังกาบสีม่วง

อังกาบขาว

  • ผลอังกาบ หรือ ฝักอังกาบ ลักษณะเป็นฝักรูปยาวรี ปลายและโคนฝักแหลม ส่วนปลายฝักจะกว้างกว่าส่วนโคนฝัก ในฝักอังกาบมีเมล็ด 4 เมล็ด เมล็ดแบนกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มิลลิเมตร มีขนแบนราบ

สมุนไพรต้นอังกาบ โดยทั่วไปแล้วจะแยกออกเป็น 3 สี 3 ชนิด ได้แก่ ชนิดดอกสีม่วง ชนิดดอกสีขาว และชนิดดอกสีเหลือง โดยดอกสีม่วงนั้นจะมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศจีนและอินเดีย ส่วนชนิดดอกสีขาวและเหลืองนั้นสามารถพบได้ทั่วไปตามป่าราบหรือที่รกร้างว่างเปล่าในประเทศไทย แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่เห็นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นจะมีแต่ชนิดสีม่วง

สรรพคุณของอังกาบ

  1. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยเจริญธาตุไฟ (ราก, ดอกของต้นอังกาบดอกสีขาว)
  2. ช่วยฟอกโลหิตในร่างกาย (รากของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  3. รากช่วยแก้ลม (ราก, ดอกของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  4. ดอกมีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับเสมหะ (ดอกของต้นอังกาบสีม่วง)
  5. รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (รากของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  6. รากมีรสหวาน ใช้เป็นยาแก้ระดูขัด ฟอกโลหิตระดูของสตรี แก้ประจำเดือนคั่งค้างเป็นลิ่มเป็นก้อน (รากของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  7. ช่วยแก้อาการเจ็บปวดเมื่อยบั้นเอว (รากของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  8. ช่วยแก้อาการบวม (รากของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  9. ช่วยแก้อาการปวดฝี (ใบของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  10. ใบช่วยถอนพิษร้อนอักเสบ (ใบของต้นอังกาบดอกสีม่วง)
  11. รากอังกาบดอกม่วง ใช้แก้พิษงู พิษตะขาบ และแมลงป่องต่อย (รากของต้นอังกาบดอกสีม่วง)

ประโยชน์ของอังกาบ

  • โดยทั่วไปแล้วจะนิยมปลูกไว้เป็นกลุ่มไม้ประดับสวนหย่อมเพื่อใช้ปรับภูมิทัศน์เป็นหลัก จึงใช้ปลูกทำเป็นรั้ว ริมทางเดิน รวมไปถึงริมธารน้ำตก ริมทะเล เป็นต้น เนื่องจากอังกาบมีดอกที่สวยงามนั่นเอง โดยปัจจุบันได้มีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้มีดอกสีขาวหรือดอกสีม่วงสลับขาว (ตามภาพด้านล่าง)

แหล่งอ้างอิง : สารานุกรมพืช สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช, หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 2, ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์ (นายเกษตร), หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (en)

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by lanonnaeli, Hesperia2007, hai_rose87, AussieSalviaGal)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด