ถุงยางอนามัย : วิธีการใส่ถุงยาง & รีวิวถุงยางอนามัย 13 ยี่ห้อ !!

ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยชาย (Male condom) เป็นเครื่องมือที่ใช้คุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีอื่น ๆ เมื่อใช้อย่างถูกวิธี สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเอดส์ นอกจากจะใช้เพื่อคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อแล้ว ยังนิยมใช้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการร่วมเพศอีกด้วย โดยมีการผลิตให้มีขนาด รูปร่าง และสีสันที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งแบบเรียบและแบบที่มีกระเปาะ (ถุงเก็บน้ำอสุจิที่ส่วนปลาย ) บางชนิดมีกลิ่นหรือรสชาติของผลไม้ หรือน้ำหอมชนิดต่าง ๆ บางชนิดมีสีสันสดใสหรือเคลือบไปด้วยสารเรืองแสงที่มองเห็นได้ในที่มืด ซึ่งมีทั้งแบบทึบแสงและแบบบางใส บ้างเคลือบด้วยสารหล่อลื่นหรือตัวยาบางชนิดที่ช่วยทำให้ร่วมเพศได้นานขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ถุงยางอนามัยชายยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น ปลอก เสื้อเกราะ เสื้อฝน มีชัย ฯลฯ ก็แล้วแต่จะเรียกกันไปครับ ส่วนถุงยางอนามัยในรูปแบบอื่นก็คือ ถุงยางอนามัยสำหรับสตรีครับ ใช้สำหรับใส่ในช่องคลอด แต่เนื่องจากมีปัญหาในการใส่และคนไทยไม่นิยม จึงไม่ค่อยเห็นมีขายในบ้านเราครับ และถุงยางอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ แผ่นแดม (Dental dam) เป็นแผ่นยางอนามัยที่ใช้สำหรับออรัลเซ็กซ์โดยเฉพาะ

ถุงยางทำมาจากอะไร ?

ในระยะแรกเมื่อประมาณ 300 ปีที่แล้ว ถุงยางอนามัยจะทำมาจากผ้าลินิน โดยใช้สวมเพื่อป้องกันโรคซิฟิลิส แต่ต่อมาก็ทำด้วยลำไส้แกะ ซึ่งปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้แล้ว เพราะเนื้อเยื่อจะมีรูพรุนเล็ก ๆ อยู่ทั่วไป ทำให้ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคติดต่อได้ และจนถึงปัจจุบันที่ถุงยางอนามัยทำจากยางที่ได้รับการตรวจคุณภาพแล้วว่าไม่มีรูรั่วและมีความทนทานตามกำหนดมาตรฐาน โดยเกือบ 100% ที่วางขายในท้องตลาด ถุงยางอนามัยจะทำมาจากยางธรรมชาติ (Latex) หรือเรียกว่า “Male Latex Condom” จึงทำให้มีราคาถูกและสามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำได้ เช่น เควาย เจล (K-Y jelly) แต่ถุงยางจะไม่สามารถใช้ร่วมกับสารที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสมได้ เนื่องจากมีฤทธิ์กัดกร่อน อาจทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพหรือฉีกขาดในขณะใช้งาน

ถุงยาง

สำหรับผู้ที่แพ้ยางธรรมชาติ (ทั้งชายและหญิง) ก็อาจเลี่ยงมาใช้ถุงยางอนามัยที่ผลิตมาจากสารสังเคราะห์ได้ เช่น Polyurethane (Polyurethane Condoms) ซึ่งจะมีราคาแพงและค่อนข้างหายากสักหน่อย แต่มีข้อดีคือสามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นหรือตัวยาที่มีส่วนผสมของน้ำมันได้โดยไม่ทำให้ถุงยางเสื่อมคุณภาพหรือฉีกขาด

ลักษณะของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยเป็นสินค้าที่ผู้ผลิตต่างใส่ใจในการออกแบบและพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า จึงทำให้มีแบบต่าง ๆ ให้ลูกค้าเลือกใช้กันมากมาย โดยถุงยางแต่ละชนิดแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  1. ชนิด : มีอยู่ 3 ชนิด คือ ชนิดที่ทำมาจากลำไส้สัตว์ (Skin Condom) ซึ่งในปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว เพราะมีความเสี่ยงสูง, ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (Latex Condom) ซึ่งเป็นถุงยางอนามัยที่ใช้กันอยู่ทั่วไป และชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ (Polyurethane Condom)
  2. ขนาด : มีทั้งหมด 13 ขนาด คือ ตั้งแต่ขนาด 44-56 มิลลิเมตร
  3. ความบาง : มาตรฐานทั่วไปถุงยางอนามัยจะมีความหนาประมาณ 0.05-0.07 มม. แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตถุงยางอนามัยที่มีความบางมากเป็นพิเศษ คือ มีความบางเพียง 0.02-0.01 มม.
  4. รูปทรง : มีทั้งแบบเป็นทรงกระบอกตรง (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)
  5. ลักษณะก้นถุง : มีทั้งแบบเรียบหรือมน (plain) และแบบที่เป็นกระเปาะ (reservoir-ended or teat) ที่มีไว้เพื่อเก็บน้ำอสุจิ ซึ่งแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่าแบบแรก
  6. ผิวถุงยาง : มีทั้งแบบที่เป็นผิวเรียบ (smooth) และแบบผิวไม่เรียบ (textured) หรือผิวขรุขระ ที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้น
  7. สีสัน : มีทั้งแบบสีใสธรรมชาติและสีอื่น ๆ หรือ เจ็ดสีมีชัย ประกายรุ้ง หรือแบบเรืองแสงก็มีครับ
  8. กลิ่นและรส : การใส่กลิ่นและรสเข้าไปก็เพื่อเอาใจคนที่ต้องการร่วมเพศทางปาก (oral sex) มีหลายกลิ่นหลายรสด้วยกันครับ เช่น รสมินต์ กลิ่นสตรอว์เบอร์รี กลิ่นมะนาว ฯลฯ
  9. คุณสมบัติพิเศษ เช่น มีสารหล่อลื่น, สารชะลอการหลั่ง, สารฆ่าเชื้ออสุจิและป้องกันโรคติดต่อ (ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน) เป็นต้น

ขนาดถุงยาง

ขนาดของถุงยางอนามัย

ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2535 ว่าด้วยคุณภาพมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ได้กำหนดไซส์ (Size) ของถุงยางอนามัยไว้ถึง 13 ขนาด คือ ขนาดตั้งแต่ 44-56 มิลลิเมตร (วัดจากความกว้างของถุงยางที่คลี่แบนราบกับพื้น) แต่ที่มีจำหน่ายในบ้านเราจะมีอยู่เพียง 2 ขนาด คือ 49 และ 52 มิลลิเมตร สำหรับการวัดขนาดอวัยวะเพศอย่างคร่าว ๆ นั้น อาจวัดจากความสูงก็ได้ โดยหากชายใดมีความสูงไม่เกิน 160 ซม. จะมีขนาดไซส์ประมาณ 49 มม. ส่วนชายใดที่สูงเกิน 160 เซนติเมตรขึ้นจะมีขนาดไซส์อยู่ที่ 52 มม. ซึ่งถือเป็นขนาดไซส์มาตรฐานของคนไทย (ถ้าขนาด 54 มม. ขึ้นไป จะเป็นขนาดสำหรับชาวต่างชาติ) แต่จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าชายไทยส่วนใหญ่จะมีขนาดอวัยวะเพศอยู่ที่ 52 มม. (12 ล้านคน) รองลงมาคือมีขนาด 49 มม. (6.5 ล้านคน) ส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่ามาตรฐาน คือจะมีขนาด 54 มม. (3.6 ล้านคน) และมีขนาด 56 มม. (1.2 ล้านคน)

การวัดขนาดถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง คือ ให้วัดเส้นรอบวงช่วงกึ่งกลางของอวัยวะเพศชายในขณะที่แข็งตัวเต็มที่ (หน่วยเป็น มม. หรือ มิลลิเมตร) ได้เท่าไรแล้วเอา 2 หาร เช่น วัดเส้นรอบวงได้ 104 มม. พอหาร 2 ก็จะได้ถุงยางอนามัยเบอร์ 52 เป็นต้น โดยคุณสามารถคลิกเพื่อดาวน์โหลด รูปสายวัดขนาดอวัยวะเพศชาย แล้วพิมพ์สายวัดออกมา และตัดสายวัดตามรูปพร้อมกับทำการเจาะรูที่เป็นรูปวงรีสีฟ้าด้านซ้าย (ที่เขียนว่า “จุดวัด“) ส่วนวิธีการวัดนั้นให้สอดปลายสายวัดเข้าช่องที่เจาะไว้ แล้วนำไปคล้องกับอวัยวะเพศในขณะที่แข็งตัวเต็มที่ จากนั้นก็ดึงสายวัดให้กระชับ แล้วอ่านตัวเลขที่ตรงกับเส้นสีแดงตรง “จุดวัด” (โปรดจำไว้ว่า “ขนาดถุงยางอนามัยที่ดีจะต้องใส่แล้วรู้สึกสบาย ไม่รัดและไม่หลวมมากจนเกินไป”)

ส่วนขนาดของถุงยางอนามัยสามารถดูได้ที่หลังกล่องตรงกลางครับ หรืออยู่แถวด้านล่าง ๆ (ไม่ซ้ายก็ขวา ใกล้เครื่องหมาย อย.) ถ้าซื้อในเซเว่นส่วนมากจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ขนาด โดยจะจัดแบบชั้นบนเป็นขนาด 52 มม. ส่วนชั้นล่างเป็นขนาด 49 มม. อย่างยี่ห้อดูเร็กซ์ถ้าให้จำง่าย ๆ คือ ดูเร็กซ์กล่องดำ คิงเท็ค (Durex Kingtex) มีขนาด 49 มม. 1 กล่อง 3 ชิ้น ราคา 45 บาท, ดูเร็กซ์กล่องสีทอง เฟเธอร์ไลท์ (Durex Fetherlite) มีขนาด 52.5 มม. 1 กล่อง 3 ชิ้น ราคา 70 บาท, ดูเร็กซ์กล่องสีเทา เฟเธอร์ไลท์ อัลติมา (Durex Fetherlite Ultima) มีขนาด 52 มม. มีความบางพิเศษ หนาเพียง 0.045-0.053 มม. 1 กล่อง 3 ชิ้น ราคา 85 บาท

ถุงยางอนามัยดูเร็กซ์

แต่ถ้าอยากได้บางกว่านั้นก็ยี่ห้อนี้เลยครับ โอกาโมโต ซีโร่ ซีโร่ ทรี (okamoto 003) ที่มีความบางเพียง 0.03 มม. (ถุงยางอนามัยทั่วไปจะมีความหนาประมาณ 0.05-0.07 มม.) ทางบริษัทเคลมว่าใส่แล้วให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใส่ (แต่ก็ยังรู้สึกว่าใส่อยู่ดีแหละครับ) ขนาด 52 มม. 1 กล่อง มี 2 ชิ้น ราคา 65 บาท และมีอีกรุ่นที่เป็นรุ่นใหม่ คือ รุ่นโอกาโมโต ซีโร่ ซีโร่ ทรี อะโล (okamoto 003 aloe) มีสารหล่อลื่นชนิดน้ำที่สกัดจากว่านหางจระเข้ กล่องสีเขียว ขนาด 52 มม. ใน 1 กล่อง มี 2 ชิ้น ราคาแพงขึ้นมาหน่อยครับ ประมาณ 70 บาท (ยี่ห้อนี้เซเว่นบางสาขาก็น่าจะมีขายอยู่นะครับ)

โอกาโมโต ซีโร่ ซีโร่ ทรี

มาดูอีกยี่ห้อหนึ่งครับ เป็นถุงยางอนามัยที่ผลิตมาจากสารสังเคราะห์ (Polyurethane Comdoms) ที่มีความบางมากเป็นพิเศษ คือ ซากามิ ออริจินัล 0.02 (sagami original 0.02) คือ มีความบางเพียง 0.02 มม. !! สามารถหาซื้อได้ในร้าน Boots และ LAWSON 108 ใน 1 กล่องมีเพียง 1 ชิ้น มีแค่ 2 ขนาด คือ size M (ขนาดเทียบเท่า 52 มม.) ราคาประมาณ 60 บาท และ size L (ขนาดเทียบเท่า 55 มม.) ราคาประมาณ 75 บาท (ต่อกล่องต่อชิ้น) ทุกรุ่นเป็นแบบ Non Natural Latex Condom (ใครแพ้ยาง Latex แนะนำให้ใช้เลยครับ) เพราะผลิตมาจากโพลียูเรเทน (Polyurethane) วัสดุคุณภาพที่ทำให้ถุงยางโคตรเหนียวและมีความทนทานมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีอีกรุ่น คือ ซากามิ เมจิคเชป (sagami Magic Shape) ใน 1 กล่อง มี 10 ชิ้น ราคากล่องละประมาณ 600 บาท (ถ้าซื้อแบบแยกคงชิ้นละประมาณ 70 บาท) มีความบาง 0.02 มม. เช่นกัน แต่รุ่นนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่เนื้อยางจะมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เข้าพอดีกับน้องชายของแต่ละท่านได้อย่างแนบเนียน และยังมาพร้อมกับเจลหล่อลื่นในตัว จึงให้ความรู้สึกสมจริง เหมือนไม่ใส่ถุงยาง

ถุงยางอนามัยซากามิ ออริจินัล

สุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดครับ เพราะในปัจจุบันนี้ทางบริษัทได้มีการพัฒนาถุงยางอนามัยซากามิให้มีความบางมากที่สุดในโลก !! ซึ่งมีความบางเพียง 0.01 มม. เท่านั้น ! คือ ซากามิ ออริจินัล 0.01 (sagami original 0.01) ขนาด 52 มม. ใน 1 กล่องมี 5 ชิ้น ราคาประมาณกล่องละ 750-850 บาท แต่ไม่แน่ใจว่าในบ้านเราตามร้านสะดวกซื้อจะมีขายกันบ้างแล้วหรือยังนะครับ

ถุงยางอนามัยซากามิ ออริจินัล

คราวนี้มาดูของต่างประเทศกันบ้างครับ เป็นการประกาศผลรางวัล “World’s Best Condoms Awards” จากเว็บไซต์ถุงยางอนามัยชื่อดังอย่าง condomdepot.com ที่เป็นการจัดอันดับจากผู้ใช้งานจริง ซึ่งจัดต่อเนื่องมาจนถึงปีที่ 13 โดยในปี 2014 ที่ผ่านมานี้ได้มีถุงยางอนามัยที่ติดอันดับต้น ๆ มีดังนี้ครับ

  • อันดับ 1 คือ “Crown Skinless Skin Condoms” ภายใต้แบรนด์ Okamoto Crow มีความบางเพียง 0.047 มม. ผิวสัมผัสเรียบ เพิ่มสัมผัสได้มากที่สุด (A+) จนฝ่ายชายรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย (ให้คะแนนเฉลี่ย A+) ส่วนฝ่ายหญิงรู้สึกว่าความบางเฉียบของถุงยางอนามัยชนิดนี้ทำให้เธอรู้สึกใกล้ชิดกับคู่รักมากขึ้น และไม่มีกลิ่นเหม็นของยางมาทำลายบรรยากาศ (ให้คะแนนเฉลี่ย A+)
  • อันดับ 2 คือ “Durex Extra Sensitive Condoms” มีความบาง 0.05 มม. ผิวสัมผัสเรียบ เพิ่มสัมผัสได้มากที่สุด (A+) ฝ่ายชายใช้แล้วรู้สึกมันยอดมาก ใส่หรือไม่ใส่ความรู้สึกก็ไม่ต่างกันเลย (ให้คะแนนเฉลี่ย A+) ส่วนฝ่ายหญิงเธอบอกไม่ได้เลยว่ากำลังใส่ถุงยางอนามัยอยู่ (ให้คะแนนเฉลี่ย A)
  • อันดับ 3 คือ “Beyond Seven Condoms” ถุงยางมีความบาง 0.05 มม. ผิวสัมผัสเรียบ เพิ่มสัมผัสได้มากที่สุด (A+) ฝ่ายชายให้คะแนน A- ส่วนฝ่ายหญิงให้คะแนนเฉลี่ย A- เท่ากัน
  • อันดับ 4 คือ “Kimono Micro Thin” มีความบาง 0.05 มม. ผิวสัมผัสเรียบ เพิ่มสัมผัสได้มากที่สุด (A+) ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงให้คะแนนเท่ากันอยู่ในระดับ A
  • อันดับ 5 คือ “Iron Grip Condoms” มีความบาง 0.07 มม. ผิวสัมผัสเรียบ เพิ่มสัมผัสได้มากที่สุด (B) ฝ่ายชายให้คะแนน B+ ส่วนฝ่ายหญิงให้คะแนนเฉลี่ย B เท่ากัน

รีวิวสักนิด : เท่าที่อ่านมาหลายคอมเมนต์ในพันทิป ผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบถุงยางแบบเรียบนะครับ ยิ่งบางยิ่งดี เพราะรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ใส่ (แต่ผู้ชายคงรู้สึกบ้างแหละ แต่คงไม่มาก)

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย

ตามหลักแล้วการใช้ถุงยางอนามัยชายอย่างถูกต้อง (Perfect use) จะมีโอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียง 2% ซึ่งหมายความว่า จำนวนการตั้งครรภ์ต่อปี (first year of use) ของสตรีที่คุมกำเนิดด้วยการใช้ถุงยางอนามัยชาย จำนวน 100 คน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 2 คน

แต่โดยทั่วไปแล้วจากการใช้งานจริง (Typical use) กลับพบว่า อัตราการล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์จะเพิ่มสูงมากขึ้นเป็น 18% หรือคิดเป็น 1 ใน 5 คน จากผู้ที่คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการใช้ถุงยางไม่ถูกวิธี ใช้ไม่สม่ำเสมอ ใช้สลับกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น หรือถุงยางอนามัยอาจฉีกขาดหรือรั่วซึม จึงทำให้มีอัตราการล้มเหลวสูงมากขึ้น แต่ข้อได้เปรียบของถุงยางอนามัยที่เหนือกว่าการคุมกำเนิดแบบอื่น คือ จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทั้งชายและหญิง (ไม่ว่าจะร่วมเพศทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก) โดยจะช่วยป้องกันหรือลดการติดเชื้อหนองใน, ซิฟิลิส, โรคเริม, แผลริมอ่อน, พยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis), ไวรัสตับอักเสบบี, ไวรัสหูดเอชพีวี (HPV) และโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่า ถุงยางอนามัยยังไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เต็ม 100% อีกทั้งเชื้อกามโรคหลายชนิดก็สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง เช่น การจุมพิต การเสียดสี การสัมผัสของผิวหนังที่ถุงยางอนามัยครอบไม่ถึง ส่วนนี้ก็ระวังไว้ด้วย สำหรับด้านล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบระหว่างการคุมกำเนิดด้วยวิธีการใช้ถุงยางอนามัยชายกับวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจครับ

วิธีคุมกำเนิด|การใช้แบบทั่วไป|การใช้อย่างถูกต้อง|ระดับความเสี่ยง
ยาฝังคุมกำเนิด|0.05 (1 ใน 2,000 คน)|0.05|ต่ำมาก
ทำหมันชาย|0.15 (1 ใน 666 คน)|0.1|ต่ำมาก
ห่วงอนามัยเคลือบฮอร์โมน|0.2 (1 ใน 500 คน)|0.2|ต่ำมาก
ยาฉีดคุมกำเนิด (ฮอร์โมนรวม)|0.2 (1 ใน 500 คน)|0.2|ต่ำมาก
ทำหมันหญิงแบบทั่วไป|0.5 (1 ใน 200 คน)|0.5|ต่ำมาก
ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง|0.8 (1 ใน 125 คน)|0.6|ต่ำมาก
ยาฉีดคุมกำเนิด (ฮอร์โมนเดี่ยว)|6 (1 ใน 17 คน)|0.2|ปานกลาง
แผ่นแปะคุมกำเนิด|9 (1 ใน 11 คน)|0.3|ปานกลาง
ยาเม็ดคุมกำเนิด|9 (1 ใน 11 คน)|0.3|ปานกลาง
ถุงยางอนามัยชาย|18 (1 ใน 5 คน)|2|สูง
ถุงยางอนามัยสตรี|21 (1 ใน 5 คน)|5|สูงมาก
การหลั่งนอก|22 (1 ใน 4 คน)|4|สูงมาก
ยาฆ่าเชื้ออสุจิ (Spermicidal)|28 (1 ใน 3 คน)|18|สูงมาก
การหลั่งใน (ไม่มีการป้องกัน)|85 (6 ใน 7 คน)|85|สูงมาก
หมายเหตุ : ตัวเลขที่แสดงเป็นจำนวนการตั้งครรภ์ต่อปี (first year of use) ของสตรีที่คุมกำเนิดด้วยวิธีดังกล่าวจำนวน 100 คน โดยกำหนดให้ สีฟ้า = ความเสี่ยงต่ำมาก / สีเขียว = ความเสี่ยงต่ำ / สีเหลือง = ความเสี่ยงปานกลาง / สีส้ม = ความเสี่ยงสูง / สีแดง = ความเสี่ยงสูงมาก (ข้อมูลจาก : www.contraceptivetechnology.org, Comparison of birth control methods – Wikipedia)

คำแนะนำในการซื้อถุงยางอนามัย

สำหรับน้อง ๆ ที่อายจนไม่กล้าเดินเข้าไปซื้อถุงยางอนามัยในร้านสะดวกซื้อ ก็ให้ลองไปซื้อถุงยางร้านที่อยู่ไกล ๆ บ้านหน่อยก็ได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเจอคนรู้จัก หรือไม่ก็ซื้อขนมและของอื่น ๆ มาด้วยเยอะ ๆ แล้วค่อย ๆ เนียนคว้ากล่องถุงยางอนามัยมาใส่เพิ่มลงไปก็ได้ จะได้ไม่มีใครสังเกต แต่ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นสั่งซื้อทางเน็ตเอาก็ได้ครับ เลือกร้านที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย แต่ทางที่ดีท่องไว้เลยครับว่า “ยืดอกพกถุง” ไม่ต้องอายใคร

ใครบ้างที่ควรใช้ถุงยางอนามัย

  • ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด และผู้มีเพศสัมพันธ์กับคนขายบริการ กับคนที่ฉีดยาเสพติดเข้าเส้น หรือกับคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก ไม่ว่าจะทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก ก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง แม้ว่าจะเราจะทราบหรือไม่ทราบว่าเขาติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม

วิธีการใส่ถุงยางอนามัย

ในบ้านเราเรื่องเพศค่อนข้างจะเป็นเรื่องปิด (แม้ความจริงแล้วในปัจจุบันเรื่องเพศจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเปิดเผยมากก็ตาม) จึงไม่ค่อยมีการสอนวิธีใช้ถุงยางอนามัยกันอย่างจริงจัง คนส่วนมากเลือกที่จะเรียนรู้หรือศึกษาด้วยตัวเองจากการดูหนัง Rate-X มากกว่าที่จะถามผู้รู้ จึงทำให้มีการใช้ถุงยางอนามัยกันอย่างผิด ๆ จนส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดตามมาบ่อย ๆ เช่น เกิดการตั้งครรภ์ ติดโรคทางเพศสัมพันธ์ และที่พบบ่อย ๆ ก็คือการที่ถุงยางอนามัยหลุดเข้าไปในช่องคลอดแล้วไม่สามารถเอาออกมาได้ เป็นต้น

การเตรียมตัวก่อนใช้ถุงยางอนามัย : ก่อนจะเริ่มใช้ถุงยางในการร่วมเพศจริง ๆ เราควรฝึกใช้ถุงยางให้เป็นเสียก่อน จะไปหาซื้อมาใส่หรือไปขอที่โรงพยาบาลของรัฐที่แจกฟรีก็ได้ โดยให้เลือกมาหลาย ๆ ขนาด เพื่อที่เราจะได้ทราบว่าขนาดใดกระชับกับอวัยวะเพศของเรามากที่สุด ขนาดเส้นรอบวงของถุงยางจะมีเขียนบอกไว้ที่ข้างกล่อง (มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร) จะวัดก่อนไปซื้อหรือจะซื้อมาลองหาขนาดที่พอดีก็ได้ บางคนขี้อายมากจนไม่กล้าซื้อขนาดเล็ก ๆ มาใช้ เพื่อปกปิดขนาดของตัวเอง แต่เวลาใช้งานจริงก็ทำให้เกิดปัญหาตามมา นอกจากจะได้ทราบขนาดที่เหมาะสมแล้ว เราจะได้รู้ด้วยว่า แพ้วัสดุจากยางที่ใช้ด้วยหรือไม่ ถ้าลองใช้แล้วเกิดผื่นคันหรือมีอาการระคายเคือง จะได้เลือกชนิดที่เป็นสารสังเคราะห์แทน เวลาออกรบจะได้ไม่มีปัญหา

ในขั้นตอนการแกะซองถุงยาง ให้ค่อย ๆ ฉีกซองอย่างระมัดระวัง อย่าให้เล็บหรือของมีคมข่วนถุงยาง หลีกเลี่ยงการฉีกโดยใช้ปาก เพราะอาจถูกฟันจนถุงขาดได้ และห้ามแกะถุงยางโดยใช้ของมีคม (เช่น กรรไกร) เพราะอาจพลาดไปโดนถุงยางและทำให้ถุงยางรั่วได้ ก่อนใช้ก็พยายามตรวจดูสภาพถุงยางด้วยสายตา (อย่างคร่าว ๆ) ด้วยว่ามีรูรั่วหรือไม่ และที่สำคัญอย่าลืมดูวันหมดอายุด้วยนะครับ โดยปกติแล้วถ้าเก็บถุงยางอนามัยไว้ในที่ร่มมิดชิด จะมีอายุการใช้งานได้ประมาณ 3-5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต ซื้อมาแล้วก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีด้วยครับ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เก็บไว้ผิดที่ผิดทางก็อาจทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพหรือเกิดการรั่วซึมในขณะนำไปใช้งานจริงก็เป็นได้

วิธีใช้ถุงยางอนามัย

เมื่อใช้ถุงยางอนามัยเป็นแล้ว การฝึกสวมใส่ถุงยางอนามัยให้ชำนาญก็มีความสำคัญไม่แพ้กันครับ เรื่องแบบนี้ต้องฝึกให้คล่องแคล่วว่องไวครับ เพราะถ้าออกศึกจริง ๆ อาจทำให้ไม่ทันใช้ หรือสวมใส่ช้าไปจนหมดอารมณ์ทางเพศได้ และถ้าจะให้ดีก็ควรจะเตรียมถุงยางอนามัยไว้ใกล้ ๆ ตัว เอาที่สามารถหยิบคว้ามาใช้ได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลุกเดินไปเดินมาให้เสียเวลา (เพราะมันเสียอารมณ์) ก่อนจะใช้ก็ดูให้ดีด้วยว่า ขอบม้วนไปด้านไหน จะได้ไม่ใส่กลับด้าน (-_-) อายเขาตายเลยครับแบบนั้น และอย่าลืมเตรียมถุงยางไว้หลาย ๆ อันด้วยครับ เผื่อเกิดชำรุด ฉีกขาด หลุด หรือใช้ไม่พอ

วิธีสวมถุงยางอนามัย : การสวมใส่ถุงยางอนามัยนั้น ก่อนอื่นอวัยวะเพศต้องแข็งตัวเต็มที่ก่อน (การร่วมเพศแต่ละครั้งจะต้องใช้ถุงยางอนามัยอันใหม่ทุกครั้ง และต้องใส่ถุงยางให้เรียบร้อยก่อนการร่วมเพศเสมอ ในขณะที่อวัยวะเพศชายกำลังแข็งตัวเต็มที่ไปตลอดจนสิ้นสุดการร่วมเพศ) ให้รอยม้วนของขอบถุงยางอนามัยอยู่ด้านนอก เพื่อป้องกันการใส่ถุงยางกลับด้าน ถ้าถุงยางอนามัยเป็นชนิดที่มีกระเปาะเก็บน้ำอสุจิอยู่ที่ปลายถุง ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงเล็ก ๆ ยื่นออกมา ก็ให้ใช้มือบีบตรงปลายกระเปาะเพื่อไล่อากาศออกให้หมดจนแบน (แต่ถ้าปลายถุงยางอนามัยเป็นแบบเรียบไม่มีกระเปาะ ให้ดึงปลายถุงยางออกมาประมาณครึ่งนิ้วเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเก็บน้ำอสุจิครับ) จากนั้นให้ใช้อีกมือหนึ่งจับถุงยางแล้วนำมาสวมใส่ตรงปลายอวัยวะเพศในขณะแข็งตัว แล้วใช้นิ้วรูดถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก โดยรูดให้แนบไปกับอวัยวะเพศไปจนถึงส่วนโคนอวัยวะเพศ โดยปกติจะรูดลงได้อย่างง่ายดายครับ ถ้ารูดแล้วไม่ขึ้นหรือรูดไม่สะดวก แสดงว่าอาจใส่กลับด้านแล้วครับ ให้กลับด้านให้ถูกต้องเสียก่อน (สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ขลิบอวัยวะเพศ ให้รูดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศลงมาให้สุดก่อนการสวมใส่) แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีวิธีใช้แนบมาด้วยในกล่องอยู่แล้ว ทางที่ดีก็ควรอ่านให้เข้าใจอีกรอบก็ได้ครับ

วิธีใส่ถุงยางอนามัย

สำหรับผู้ที่ต้องการจะมีเพศสัมพันธ์นอกเหนือจากทางช่องคลอด (เช่น ทางทวารหนัก หรือทางปาก) ต้องเข้าใจก่อนว่าถุงยางที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั้นเกือบทั้งหมดทำมาจากธรรมชาติ จึงไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นหรือยาทาใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอาจมีน้ำมันหรือสารเคมีบางอย่างที่ทำให้ถุงยางหมดประสิทธิภาพได้ แม้แต่ยาสอดในช่องคลอดบางชนิดก็ยังมีฤทธิ์กัดกร่อนถุงยางให้รั่วซึมได้เลยครับ ส่วนวาสลีน เบบี้ออยล์ โคลด์ครีม หรือยาหม่องนี้ห้ามเลยนะครับ ถ้าจะใช้จริง ๆ แนะนำให้ใช้น้ำเปล่า หรือ เควาย เจล (K-Y jelly) แทนจะดีกว่าครับ โดยนำมาทาที่ปลายถุงยางหรือปากช่องคลอดก่อนการร่วมเพศ แต่ถ้าอยากให้มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น มีสารหล่อลื่นชนิดพิเศษ หรือสารที่ช่วยชะลอการหลั่ง ก็ให้เลือกใช้ถุงยางอนามัย (ที่ผลิตมาจากโรงงานเท่านั้น) ที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้เลยครับ ไม่แนะนำให้ใช้สารชนิดใด ๆ มาทาหรือเคลือบถุงยางอนามัยเองโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้ถุงยางเสื่อมแล้ว ยังอาจทำให้คู่นอนเกิดอาการแพ้หรือเป็นอันตรายจากสารที่นำมาใช้ได้

วิธีถอดถุงยางอนามัย : เมื่อเสร็จภารกิจและมีการหลั่งน้ำอสุจิเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบใช้นิ้วมือบีบรัดถุงยางอนามัยให้แนบกับโคนอวัยวะเพศ (เพื่อป้องกันน้ำอสุจิหกหรือไหลย้อนออกมา) แล้วจึงถอนอวัยวะเพศพร้อมถุงยางอนามัยออกจากช่องคลอดในขณะที่อวัยวะเพศยังคงแข็งตัวอยู่ เพราะถ้ารอให้อ่อนตัว เวลาถอนอวัยวะเพศออกมาอาจทำให้ถุงยางอนามัยไม่ตามออกมาหรือหลุดค้างอยู่ในช่องคลอดและน้ำอสุจิไหลเปรอะเปื้อนบริเวณปากช่องคลอดได้ เมื่อถอนออกมาแล้ว ก็ให้รูดถุงยางอนามัยออกได้ แล้วบีบถุงยางให้แน่น รูดน้ำอสุจิให้ไปอยู่ที่ปลายถุง พร้อมกับตรวจดูว่ามีน้ำอสุจิรั่วซึมหรือถุงยางมีรอยฉีกขาดหรือไม่ ถ้าเรียบร้อยไม่มีปัญหา ก็ให้ผูกมัดถุงยางที่ปากถุงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิไหลออกมาเรี่ยราดและส่งกลิ่นเหม็น จากนั้นให้ใช้กระดาษห่อให้มิดชิดแล้วนำไปทิ้งขยะ (ถ้าเลือกได้ให้เลือกถังขยะติดเชื้อจะดีที่สุด)

ใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น ดีหรือไม่ ?

ไม่ดีและไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ ! เพราะการใส่ถุงยางอย่างถูกต้องเพียงชั้นเดียวก็มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วครับ ห้ามใส่ถุงยางหลายชั้นเด็ดขาด บางคนเข้าใจว่าใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น 3 ชั้น แล้วจะป้องกันได้ดีกว่า แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยครับ ยิ่งบางคนสวมใส่เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ เช่น เพื่อให้ชะลอการหลั่งเร็ว ต้องการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้ถุงยางฉีกขาด แต่เป็นความเข้าใจผิด แบบนี้ก็ไม่ควรครับ เพราะโอกาสที่ถุงยางจะหลุดเข้าไปค้างในช่องคลอดของฝ่ายหญิงมีสูงและยังทำให้ถุงเสียดสีกันจนเกิดฉีกขาดหรือแตกได้ ทางที่ดีใส่เพียงชิ้นเดียวต่อการร่วมเพศหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้วครับ เพราะโดยทั่วไปแล้วถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดจะได้รับการทดสอบให้ได้มาตรฐานอยู่แล้ว เลิกกังวลได้เลย

จะทำอย่างไรเมื่อถุงยางอนามัยชำรุดในขณะร่วมเพศ ?

โดยทั่วไปจะมีโอกาสที่ถุงยางอนามัยจะรั่ว ฉีกขาด หรือหลุดในระหว่างการร่วมเพศได้ถึง 2 % ถ้าตรวจพบถุงยางมีปัญหาก่อนร่วมเพศก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแค่เตรียมถุงยางอนามัยสำรองไว้หลาย ๆ อัน เพื่อที่จะได้เปลี่ยนใช้ได้ทันทีก็พอแล้ว แต่ถ้าใช้ไปแล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมาหรือสงสัยว่าถุงยางฉีกขาดก็ให้หยุดมีเพศสัมพันธ์ทันที ส่วนในกรณีที่พบว่าถุงยางมีรอยรั่วหรือฉีกขาดหลังการใช้งาน ฝ่ายหญิงต้องรีบหายาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินมารับประทานภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม และให้ทั้งสองฝ่ายทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำสบู่ โดยทำความสะอาดอย่างนุ่มนวลไม่ให้เกิดบาดแผล (ฝ่ายหญิงไม่ควรใช้วิธีสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าไปในโพรงมดลูกได้ง่ายขึ้น) ส่วนการใช้ยาฆ่าอสุจิในช่องคลอดทันทีอาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ฉุกเฉินได้เช่นกัน หรือจะใช้วิธีนี้ร่วมกับยาคุมฉุกเฉินเลยก็ได้ครับ

ถุงยางอนามัยรั่ว

ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย

  1. การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ถ้าถุงยางมีคุณภาพได้มาตรฐาน (ไม่รั่ว, ไม่ขาด, ไม่หมดอายุ) และใช้กันอย่างถูกวิธี ก็จะได้ผลป้องกันที่ดีมากพอสมควร
  2. สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันมีราคาไม่แพง ศูนย์อนามัยหรือโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งก็แจกฟรี ที่สำคัญก็คือสามารถพกติดตัวได้ง่ายทั้งชายและหญิง
  3. การใช้ถุงยางอนามัยสามารถช่วยลดการหลั่งเร็วได้ในบางราย และในปัจจุบันถุงยางอนามัยหลาย ๆ ยี่ห้อก็ถูกผลิตมาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการร่วมเพศอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผิวสัมผัส สีสัน กลิ่น รส รวมไปถึงบางชนิดที่ช่วยชะลอการหลั่งทำให้ร่วมเพศได้นานขึ้น เหล่านี้จึงช่วยให้การร่วมเพศเป็นไปอย่างมีความสุขและยาวนานยิ่งขึ้น
  4. ไม่มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนต่อร่างกายเหมือนการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ในกรณีของคนที่ต้องการมีลูก เมื่อหยุดใช้ก็สามารถตั้งครรภ์ได้เลย
  5. ที่สำคัญวิธีนี้ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งชายและหญิงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ข้อเสียของการใช้ถุงยางอนามัย

  1. ต้องใช้ทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และต้องได้รับความยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย เช่น ฝ่ายหญิงอยากให้ใช้ถุงยางอนามัย แต่ฝ่ายชายไม่ยินยอม เป็นต้น ก็อาจทำให้ไม่สามารถใช้ได้
  2. อาจทำให้อารมณ์ของทั้งคู่สะดุดลงหรือทำให้อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง เมื่อต้องมาเสียเวลาสวมใส่ถุงยางอนามัย ในบางรายถึงกับอวัยวะเพศอ่อนตัวไปเลยก็มี
  3. ในขณะใช้อาจรู้สึกว่าถุงยางอนามัยนั้นเป็นตัวขวางกั้นความสุขและความแนบแน่นของทั้งคู่ ทำให้ความรู้สึกสัมผัสลดลง และทำให้เสียอารมณ์ไปบ้างในขณะร่วมเพศ แม้ในปัจจุบันถุงยางอนามัยบางรุ่นจะมีขนาดบางมากก็ตาม
  4. ในบางรายพบว่า มีอาการแพ้สารเคมีที่เคลือบถุงยาง ซึ่งการแพ้นั้นจะเกิดขึ้นกับฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็ได้ และอาจเกิดการรั่วหรือแตกได้ อย่างเช่นถุงยางอนามัยชนิด Latex ที่ไม่สามารถใช้กับวัสดุหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันได้ เพราะจะทำให้เพิ่มโอกาสเกิดการแตกของถุงยางได้
  5. การใช้ถุงยางในขนาดไม่พอดี อาจทำให้ไม่มีความสุขในการใช้ อาจทำให้หลวมและหลุด หรือเกิดการฉีกขาดได้

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับถุงยางอนามัย

  • ถุงยางอนามัยป้องกันโรคได้ 100% : ความจริงก็คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ได้จำกัดการติดต่อเพียงแค่การร่วมเพศเท่านั้น เพราะยังมีบางโรคที่สามารถติดต่อผ่านการจูบหรือผ่านอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้
  • ถุงยางป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% : แม้ในปัจจุบันวิธีที่ปลอดภัยที่สุดยังมีผิดพลาดกันได้เลยครับ แม้แต่ถุงยางอนามัยเองก็ตาม ยิ่งผู้ใช้ใช้ไม่เป็นก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดครับ
  • ใส่ถุงยาง 2 ชั้น ดีกว่าชั้นเดียว ! : คิดผิดมหันต์เลยครับ เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่านอกจากจะไม่ช่วยอะไรและลำบากต่อการสวมใส่หลาย ๆ ชั้นแล้ว ยังเสี่ยงต่อการฉีกขาดของถุงยางได้ง่าย (มาก) อีกด้วย
  • ใส่ถุงยางแล้วมันไม่ถึงใจ ! : ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะใช่ครับ แต่เดี๋ยวนี้ถุงยางพัฒนาไปไกลมากแล้วครับ เมื่อก่อนมีความบางประมาณ 0.05-0.07 มม. ขึ้นไป แต่เดี๋ยวนี้มีขนาดบางเฉียบถึง 0.01 มิลลิเมตรให้ใช้กันแล้วครับ !! เรียกได้ว่าแทบไม่รู้สึกว่าใส่กันเลยทีเดียว หนำซ้ำถุงยางอนามัยบางยี่ห้อยังเพิ่มสารที่ช่วยทำให้ผู้ใช้อยู่ในสนามรบได้อย่างยาวนานมากขึ้นอีกด้วย แบบนี้จะบอกว่ามันยังไม่ถึงใจได้ยังไง เปลี่ยนความคิดกันใหม่ได้แล้วครับ
  • ประตูหลัง ถุงยางเอาอยู่ ! : ถุงยางอนามัยถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับช่องคลอดเป็นหลัก แต่ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอาจมีความคับแคบและเสียดสีมากกว่าปกติ จึงทำให้เสี่ยงต่อการฉีกขาดของถุงยางได้ ก็คือยังใช้ได้แหละครับ เพียงแต่ต้องระมัดระวังในการใช้ด้วย
  • รอเกือบเสร็จแล้วค่อยใส่ถุงยางก็ได้ : แนะนำว่าอย่าเสี่ยงทำแบบนี้ครับ เพราะน้ำอสุจิสามารถปนออกมากับน้ำหล่อลื่นของอวัยวะเพศชายได้ตลอดเวลา (แม้จะไม่ถึงจุดสุดยอดก็ตามที) อีกอย่างหน้าที่ของถุงยางอนามัยก็ไม่ได้มีไว้แค่ป้องกันการตั้งครรภ์จากอสุจิเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยครับ
  • ใช้ถุงยางซ้ำได้ ประหยัดดี : อย่าทำนะครับ เป็นอีกวิธีที่เสี่ยงมากเช่นกัน เพราะถุงยางอนามัยถูกออกแบบมาให้ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ใช่เอาไปล้างน้ำแล้วจะใส่ซ้ำได้ หรือบางคนบอกว่าไม่ต้องล้างก็ได้ ก็ใช้ต่อไปเลยอีกยก แบบนี้ก็ไม่แนะนำครับ เพราะถุงยางที่ใช้แล้วจะมีประสิทธิภาพลดลง อาจเกิดการฉีกขาดได้ง่าย และถุงยางอาจหลวมหรือหลุดเข้าไปในช่องคลอดได้ครับ
  • เก็บถุงยางไว้ในกระเป๋าสตางค์ : อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรทำครับ เพราะกระเป๋าสตางค์เป็นสิ่งที่ต้องพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อมันถูกยัดอยู่ในกระเป๋าหลัง กระเป๋าสตางค์จะเกิดการเสียดสี เกิดความร้อน และแรงกดทับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้ถุงยางเสื่อมคุณภาพลง ดังนั้น การเก็บถุงยางไว้ในกระเป๋าสตางค์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด ทางที่ดีคุณควรเก็บไว้ในที่เย็นและแห้งจะดีกว่า

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด